ฟังก์ชันเอกซโพเนนเชียล (Exponential Function)
ฟังก์ชันเอกโพเนนเชียล
จากการศึกษาในเรื่องเลขยกกำลัง
ซึ่งท้ายที่สุดเราได้สนใจเลขยกกำลังที่มีฐานเป็นจำนวนจริงบวก และเลขชี้กำลังเป็นจำนวนจริงใด ๆ แต่ได้มีนักคณิตศาสตร์ได้สังเกตเห็นว่า
ถ้าเลขยกกำลังมีฐานเป็น 1
และเลขชี้กำลังเป็นจำนวนจริงใด ๆ ดังนี้ ถ้ากำหนดให้ a = 1 และ x เป็นจำนวนจริงใดแล้วจะได้ ax = 1x = 1
ข้อสังเกต จากข้อกำหนดฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล
f(x) = 1x เป็นฟังก์ชันคงตัวเนื่องจาก 1x = 1
ดังนั้นในข้อกำหนดฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล
จึงไม่สนใจ ฐาน (a) ที่เป็น 1
f(x) = 1x ไม่เป็นฟังก์ชันเอ็กซ์โพเนนเชียล
เนื่องจาก f(x) = 1x เป็นฟังก์ชันคงตัว
จากเงื่อนไขที่ว่า y = ax, a > 0, a ¹ 1 ทำให้เราทราบได้เลยว่าฐาน (a) มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 0 < a
< 1 กับ a > 1
ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลจะมีอยู่ 2
ชนิด โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของฐาน (a) ดังนี้
ชนิดที่ 1 y = ax, 0 < a < 1
ชนิดที่ 2 y = ax, a > 1
กราฟของสมการ y = ax ในฐาน a ต่าง ๆ : ฐาน 10 (สีเขียว), ฐาน e (สีแดง), ฐาน 2 (สีน้ำเงิน), และฐาน ½ (สีฟ้า) เส้นโค้งแต่ละเส้นผ่านจุด (0, 1) เนื่องจากจำนวนที่ไม่เป็นศูนย์ใด
ๆ ยกกำลัง 0 จะได้ 1 และที่ x = 1 ค่าของ y จะเท่ากับฐาน
เนื่องจากจำนวนใด ๆ ยกกำลัง 1 จะได้จำนวนเดิม
|
ฟังก์ชันลอการิทึม (Logarithm Function)
ลอการิทึม (อังกฤษ: logarithm) เป็นการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่เป็นฟังก์ชันผกผันของฟังก์ชันเลขชี้กำลัง ค่าลอการิทึมของจำนวนหนึ่งโดยกำหนดฐานไว้ให้ จะมีค่าเทียบเท่ากับ การเอาฐานมายกกำลังค่าลอการิทึม ซึ่งจะให้คำตอบเป็นจำนวนนั้น ตัวอย่างเช่น
- ลอการิทึมของ 1000 ในฐาน 10 มีค่าเป็น 3 เพราะว่า 10 คูณกัน 3 ตัวแล้วได้ 1000 นั่นคือ 10 × 10 × 10 = 1000
- ลอการิทึมของ 32 ในฐาน 2 มีค่าเป็น 5 เพราะว่า 2 คูณกัน 5 ตัวแล้วได้ 32 นั่นคือ 2 × 2 × 2 × 2 × 2 = 32
ถ้าเขียนด้วยสัญลักษณ์ยกกำลังจะได้ว่า
- 103 = 1000 ดังนั้น log10 1000 = 3
- 25 = 32 ดังนั้น log2 32 = 5
ลอการิทึมของ x ในฐาน b เขียนแทนด้วย logb x หรือถ้าฐานมีค่าใด ๆ เป็นปริยาย จะเขียนเพียงแค่ log x (ไม่จำเป็นต้องใส่วงเล็บรอบ x) ดังนั้นสำหรับจำนวน x ฐาน b และเลขชี้กำลัง y ที่สามารถเป็นไปได้
คุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญของลอการิทึมคือการลดทอนการคูณไปเป็นการบวกดังนี้
หมายความว่า ลอการิทึมของผลคูณของสองจำนวน จะเท่ากับผลรวมของลอการิทึมของแต่ละจำนวน การใช้ลอการิทึมเพื่อลดทอนการคำนวณที่ซับซ้อนเป็นหนึ่งในแรงผลักดันอย่างมีนัยสำคัญในการพัฒนาที่มีมาแต่เดิม มีการใช้งานลอการิทึมอย่างกว้างขวางทั้งในงานสถิติศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ เศรษฐศาสตร์ ดนตรี และวิศวกรรมศาสตร์
กราฟของฟังก์ชันลอการิทึมในฐานต่าง
ๆ สีแดงคือฐาน e สีเขียวคือฐาน 10 สีม่วงคือฐาน 1.7 กราฟทุกเส้นผ่านจุด (1, 0)
เนื่องจากจำนวนใด ๆ ที่ไม่เป็นศูนย์ เมื่อยกกำลัง 0 แล้วได้ 1 และกราฟทุกเส้นผ่านจุด
(b, 1) สำหรับฐาน b เพราะว่าจำนวนใด ๆ ยกกำลัง 1
แล้วได้ค่าเดิม เส้นโค้งทางซ้ายเข้าใกล้แกน y แต่ไม่ตัดกับแกน y เพราะมีภาวะเอกฐานอยู่ที่
x = 0 (เส้นกำกับในแนวดิ่ง)
|
ฟังก์ชันคอมโพสิท(Composite Function)
ฟังก์ชันคอมโพสิท (Composite Function)
เป็นการกระทำกันระหว่างฟังก์ชันตั้งแต่ 2
ฟังก์ชันขึ้นไปให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน
สำหรับฟังก์ชันที่เป็นเซตแบบแจกแจงเช่น
f = {(1,3),(2,4),(3,5)}
g = {(5,1),(3,2),(4,3)}
เราสามารถสร้างฟังก์ชันขึ้นมาใหม่
เรียกว่า gof (จีโอเอฟ)
แต่ผมมักจะเรียกไปเลยว่า ก็อฟ (gof) เป็นฟังก์ชันจาก f ไปยัง g
จะได้ gof = {(1,2),(2,4),(3,1)}
(gof)(1) = g(f(1)) = g(3) = 2
(gof)(2) = g(f(2)) = g(4) = 3
(gof)(3) = g(f(3)) = g(5) = 1
นิยาม ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน และ R f ∩ Dg ฟังก์ชันคอมโพสิทของ
f และ g เขียนแทนด้วย gof กำหนด (gof)(x) =
g(f(x)) ซึ่ง f(x) ∈ Dg
ตัวอย่างที่ 1 กำหนด f = {(1,2),(3,4),(5,6),(7,8)}
g = {(2,a),(4,b),(7,c),(8,d)}
จงหา (gof)(1) , (gof)(3) , (gof)(7) พร้อมทั้งหา gof และ fog
วิธีทำ gof เป็นฟังก์ชัน จาก f ไป g
R f
= {2,4,6,8} , Dg = {2,4,7,8}
R f ∩ Dg = {2,4,8} ≠ Ø แสดงว่าหา gof ได้
(gof)(1) = g(f(1)) = g(2) = a
(gof)(3) = g(f(3)) = g(4) = b
(gof)(7) = g(f(7)) = g(8) = d
ดังนั้นจะได้ gof = {(1,a),(3,b),(7,d)} fog เป็นฟังก์ชันจาก g ไป f
Rg
= {a,b,c,d} , Df
= {1,3,5,7}
Rg
∩ Df = Ø แสดงว่าหา fog ไม่ได้
ตัวอย่างที่ 2 กำหนดให้ f(x) = 3x-5 , g(x) = 1/x-3
จงหา gof , fog ,
(gof)(3) , (fog)(2)
วิธีทำ
1.) หา gof R f
= R
Dg = R -
{3}
R f ∩ Dg ≠ Ø แสดงว่าหา gof ได้ (gof)(x) = g(f(x))
=
g(3x-5)
= 1/(3x-5)-3 = 1/3x-8
ดังนั้น gof = {(x,y) | y = 1/3x-8} (gof)(3) = g(f(3)) = g(4) = 1
2.) หา fog Rg
≠ 0
Df = R
3.) Rg ∩ Df ≠ Ø แสดงว่าหา fog ได้
(fog)(x) = f(g(x)) = f(1/x-3)
= 3(1/x-3)-5 = (3/x-3)-5
(fog)(x) = 18-5x/x-3
fog = {(x,y) | y = 18-5x/x-3}
(fog)(2) = 18-5(2)/2-3 = 18-10/-1
= -8
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น